Back to School 2025 มาแล้ว! นี้ iStudio by UFicon และ U•Store by UFicon จัดโปรโมชันพิเศษ iPad ราคานักศึกษา ลดสูงสุด ฿13,300 ช่วงเปิดเทอมคือเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในการลงทุนกับอุปกรณ์การเรียนดี ๆ ซักชิ้น โดยเฉพาะ iPad ที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ นักเรียน, นักศึกษาในปัจจุบัน บทความนี้จะแนะนำการเลือกซื้อ iPad ที่ให้เหมาะกับการเรียนของแต่ละคน พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับช่วง Back to School ปี 2025
(เป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น การเลือกซื้อ iPad ของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ, การพกพา, รุ่น, ความจุ)
วิธีเลือกซื้อ iPad ราคานักศึกษา ให้เหมาะกับการเรียน การใช้งาน
เลือก iPad อย่างไรให้คุ้มค่าสำหรับการเรียน? ผมเชื่อว่าหลายคนกำลังปวดหัวกับคำถามนี้อยู่
จริงๆ แล้ว การเลือก iPad สำหรับเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นที่แพงที่สุดหรือสเปคแรงสุดหรอกนะครับ เพราะบางทีรุ่นที่แพงเกินไปก็อาจจะ “เกินความต้องการ” สำหรับการใช้งานจริงๆ ของเรา แถมยังเปลืองเงินในกระเป๋าโดยใช่เหตุ!
ที่น่าสนใจคือ iPad เป็นอุปกรณ์จาก Apple ที่อายุการใช้งานยาวนานที่สุดเลยก็ว่าได้ ผมเองก็ใช้ iPad Air รุ่นเก่ามาเกือบ 5 ปีแล้ว ยังไหวอยู่เลย ส่วนน้องๆ หลายคนที่ผมรู้จัก บางคนใช้ iPad ตัวเดียวตั้งแต่ ม.ปลาย ยันจบมหา’ลัยเลยนะ ไม่เหมือน iPhone ที่เราอาจจะเปลี่ยนกันทุก 2-3 ปี พอมีรุ่นใหม่ออกมา
นี่แหละครับที่ทำให้การเลือก iPad กลายเป็น “การลงทุนระยะยาว” ที่ควรคิดให้รอบคอบ ผมเคยเจอเพื่อนที่ซื้อ iPad Pro สเปคจัดเต็มมา แต่สุดท้ายเอาไว้ดูหนัง เล่นเน็ต จดโน้ตธรรมดาๆ ก็เสียดายเงินแทนเขาเหมือนกัน
แน่นอนว่าการเลือกต้องคำนึงถึงทั้งปัจจุบันและอนาคต… คุณกำลังจะเปลี่ยนเมเจอร์ไหม? จะเรียนสายไหนต่อ? จะใช้งานหนักแค่ไหน? บางคนเรียนสถาปัตย์ ต้องวาดงานเยอะ อาจต้องการ iPad รุ่นที่รองรับ Apple Pencil รุ่นใหม่ๆ หน่อย แต่ถ้าแค่จดโน้ต อ่านหนังสือ รุ่นพื้นฐานก็น่าจะพอ
เอาเข้าจริงๆ iPad ใช้ทำอะไรได้เยอะแยะในการเรียน ไม่ว่าจะ
- จดโน้ตแบบเท่ๆ บน Goodnotes
- อ่านหนังสือ/PDF แล้วไฮไลท์ได้เลย
- ดูคลิปสอน ดูคอร์สเรียนออนไลน์
- ส่งการบ้าน (ถ่ายรูปแล้วแปลงเป็น PDF ได้ด้วย)
- วาดรูป ทำงานดีไซน์ (สำหรับสายศิลป์)
- แม้แต่เล่นเกมคลายเครียดบ้างตอนเบรก
มาดูกันดีกว่าว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ควรคิดก่อนควักเงินซื้อ iPad มาใช้เรียน…
เลือกจากความแรง เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน
เรื่อง “สเปค” นี่แหละสำคัญสุดๆ! iPad แต่ละรุ่นที่วางขายในตอนนี้มีความแรงต่างกันเยอะมากๆ ขึ้นอยู่กับว่าใส่ชิปอะไรมาให้ ซึ่งแน่นอนว่า…ยิ่งแรงก็ยิ่งแพง 😅
เราควรเลือกให้พอดีกับการใช้งานจริงๆ เพราะบางทีจ่ายแพงเกินไปก็เสียดายเงิน แต่ถ้าเอารุ่นที่อ่อนเกินไป อีกไม่นานก็คงต้องเปลี่ยนใหม่… มาดูกันว่าแต่ละชิปเหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง!
iPad รุ่นปกติ (A16) – เป็นชิปที่แรงมากพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะจดโน้ต ดูหนัง เล่นเน็ต หรือเล่นเกมในระดับกลางๆ ได้สบาย ชิป A16 เป็นตัวเดียวกับที่เคยอยู่ใน iPhone 14 Pro เลยนะ เอามาใส่ใน iPad ถือว่าเพียงพอสำหรับนักเรียนทั่วไปมากๆ
iPad Air (ชิป M3) – ก้าวข้ามไปอีกระดับด้วยชิปที่แรงกว่าเดิมมาก เทียบเท่าคอมพิวเตอร์ MacBook เลยทีเดียว ชิป M3 นี่แหละที่ทำให้ iPad Air กลายเป็นตัวคุ้มค่าที่สุดในตอนนี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานหนักๆ ทั้งตัดต่อวิดีโอ ทำกราฟิก หรือเปิดหลายแอปพร้อมกัน รวมถึงเล่นเกมที่กินสเปคสูงได้ลื่นๆ
iPad Pro (ชิป M4) – ขั้นสุดของความแรงในตระกูล iPad ชิป M4 ทรงพลังเกินพอสำหรับงานทุกประเภท แม้แต่งานระดับมืออาชีพ เหมาะสำหรับสายครีเอทีฟจริงจังที่ต้องทำงานกับโปรแกรมหนักๆ เช่น Final Cut Pro, Photoshop รวมถึงงาน 3D Rendering ต่างๆ หรือนักศึกษาสายออกแบบ สถาปัตย์ ที่ต้องใช้โปรแกรมหนักๆ
iPad mini (ชิป A17 Pro) – แม้ตัวเล็กแต่ซ่อนพลังไว้ไม่น้อย ชิป A17 Pro ใน iPad mini เป็นชิปตัวเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 15 Pro เลย ซึ่งแรงพอที่จะทำงานทั่วไปได้คล่องแคล่ว เล่นเกมได้ลื่น แต่ด้วยขนาดที่เล็กกว่าทำให้เหมาะกับการพกพามากกว่า
ทีนี้ตอบคำถามที่ว่า “แล้วควรเลือกแบบไหนดี?” สำหรับนักเรียนมัธยมถึงปี 1-2 เลือก iPad รุ่นธรรมดาก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นนักศึกษาปี 3-4 ขึ้นไป หรือเรียนสายที่ต้องใช้โปรแกรมกราฟิกหนักๆ แนะนำ iPad Air ชิป M3 เลย คุ้มค่าสุดๆ ส่วน iPad Pro นั้นเหมาะกับมืออาชีพจริงๆ หรือคนที่มีงบเหลือๆ
ตอนนี้ iStudio by UFicon, U•Store by UFicon ได้จัดโปรโมชันรับเปิดเทอม Back to School
พบกับ iPad ราคานักศึกษา ที่พิเศษยิ่งกว่าที่ไหน ๆ ลดสูงสุดถึง ฿13,300
เลือกจาก “ขนาดหน้าจอ”
ขนาดนี่สำคัญมาก! เพราะมันจะกำหนดทั้งประสบการณ์การใช้งานและความสะดวกในการพกพา มาดูกันว่าแต่ละขนาดเหมาะกับการใช้งานแบบไหน
iPad mini (8.3 นิ้ว) – เล็กสุด พกง่ายสุด พอดีมือแบบจับถนัด เหมาะกับคนที่เน้นพกพาไปทุกที่ จะอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้า จดโน้ตเล็กๆ น้อยๆ หรือดูซีรีส์ระหว่างเดินทาง แต่ถ้าต้องทำงานเอกสารเยอะๆ หรือวาดรูปละเอียด อาจจะรู้สึกอึดอัดนิดนึง
iPad และ iPad Air (11 นิ้ว) – ไซส์ทองที่สมดุลที่สุด! ใหญ่พอให้ทำงานสบาย แต่ก็ยังพกพาได้ไม่ลำบาก น้ำหนักพอดี หยิบจับถนัดมือ เรียกได้ว่าเป็นไซส์ที่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่มากที่สุด ทั้งจดโน้ต ทำงานเอกสาร วาดรูป ดูหนัง เล่นเกม ทำได้หมด
iPad Air และ iPad Pro (13 นิ้ว) – ใหญ่สุด สบายตาสุด ให้พื้นที่ทำงานเยอะสุด แต่ก็หนักและใหญ่ที่สุดเช่นกัน เหมาะสำหรับคนที่เน้นใช้งานในที่เดียว ไม่ได้พกพาบ่อย เช่น ทำงานในออฟฟิศ ในห้องเรียน หรือที่บ้านเป็นหลัก เหมาะมากสำหรับสายดีไซน์ วาดรูป ตัดต่อวิดีโอ ที่ต้องการพื้นที่หน้าจอเยอะๆ
จากประสบการณ์ส่วนตัวนะ คนส่วนใหญ่มักจะเลือกขนาด 11 นิ้ว เพราะมันลงตัวที่สุด พกพาได้ไม่ลำบาก และมีพื้นที่หน้าจอมากพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าเน้นทำงานกราฟิกจริงจัง ขนาด 13 นิ้วก็จะให้ความสบายมากกว่า
และอย่าลืมว่าขนาดหน้าจอมีผลต่อราคาด้วยนะ ยิ่งจอใหญ่ก็ยิ่งแพงขึ้น เพราะฉะนั้นควรเลือกให้เหมาะกับงบประมาณและการใช้งานจริงๆ!
เลือกจาก “ความจุ (Storage)”
เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูลนี่แหละที่หลายคนมักจะเลือกผิด! เพราะถ้าเลือกน้อยไป ใช้ไปสักพักก็เต็ม แต่ถ้าเลือกมากไป ก็อาจจะเสียเงินเกินความจำเป็น
128GB – เป็นความจุเริ่มต้นสำหรับ iPad รุ่นปกติและ iPad mini ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ติดแอปพื้นฐาน เก็บรูปภาพ เอกสารเรียน หนังสือ และเพลงได้พอสมควร แต่ถ้าเป็นคนชอบถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง หรือติดเกมเยอะๆ อาจจะไม่พอ
256GB – ถือเป็นขนาดที่ “คุ้มค่า” ที่สุดสำหรับคนทั่วไป มีพื้นที่มากพอที่จะไม่ต้องคอยลบข้อมูลบ่อยๆ แม้จะใช้งานหนักพอสมควร เก็บแอปได้เยอะ มีหนังหรือซีรีส์โหลดไว้ดูตอนไม่มีเน็ตก็ยังได้
512GB – เหมาะสำหรับคนที่ต้องเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น นักศึกษาสายกราฟิก ที่ต้องทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่ หรือคนที่ชอบถ่ายวิดีโอ 4K เก็บหนัง ซีรีส์ เพลง เกมเยอะๆ
1TB-2TB – สำหรับมืออาชีพจริงๆ เช่น ช่างภาพ นักตัดต่อวิดีโอ นักออกแบบที่ทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่มากๆ หรือคนที่ต้องการใช้ iPad แทนคอมพิวเตอร์เลย
💡 Tips : จากประสบการณ์ ถ้าเรียนทั่วไป ไม่ได้ทำงานสายครีเอทีฟ 256GB น่าจะเพียงพอและคุ้มค่าที่สุด แต่ถ้าเรียนสายศิลปะ กราฟิก หรือสื่อ แนะนำ 512GB ขึ้นไปเพื่อความอุ่นใจ
อีกเรื่องที่ต้องรู้คือ iPad ไม่สามารถเพิ่มความจุด้วย SD Card ได้เหมือนมือถือบางรุ่น เพราะฉะนั้นควรเผื่อพื้นที่ไว้สำหรับอนาคตด้วย และถ้าคุณใช้บริการคลาวด์อยู่แล้ว เช่น iCloud, Google Drive ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเลือกความจุสูงมาก
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต รุ่น Wi-Fi / รุ่น Wi-Fi+Cellular
เรื่องนี้ไม่มีถูกผิด แต่มีเหมาะไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ!
รุ่น Wi-Fi อย่างเดียว
- ข้อดี ราคาถูกกว่าประมาณ 5,000-7,000 บาท ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเติม
- เหมาะกับ คนที่ใช้งานในพื้นที่ที่มี Wi-Fi เป็นส่วนใหญ่ เช่น บ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ร้านกาแฟ
- ถ้าจำเป็นต้องใช้เน็ตนอกบ้าน สามารถแชร์อินเตอร์เน็ตจาก iPhone หรือมือถืออื่น ๆ ได้
รุ่น Wi-Fi+Cellular (5G)
- ข้อดี เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ผ่านเครือข่ายมือถือ 5G โดยไม่ต้องพึ่งมือถือ สะดวกมากๆ
- เหมาะกับ คนที่ต้องเดินทางบ่อย ทำงานนอกสถานที่ หรือต้องการความเสถียรของสัญญาณ
- ข้อเสีย ราคาแพงกว่า และมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเติมสำหรับซิมการ์ด
คำแนะนำจากประสบการณ์จริง สำหรับนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่ รุ่น Wi-Fi อย่างเดียวมักจะเพียงพอแล้ว เพราะในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ก็มี Wi-Fi ให้ใช้ ร้านกาแฟก็มี นอกจากนี้ยังแชร์เน็ตจากมือถือได้ง่ายๆ
แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อย ทำงานนอกสถานที่ หรือใช้ iPad เป็นอุปกรณ์หลักในการทำงาน การมีรุ่น Cellular ก็จะช่วยให้สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องพกหลายอุปกรณ์เพื่อแชร์เน็ต และการเชื่อมต่อก็เสถียรกว่าการแชร์เน็ตจากมือถือด้วย
สุดท้าย อย่าลืมว่า…ถ้าจะใช้รุ่น Cellular ควรเช็คโปรโมชั่นซิมสำหรับแท็บเล็ตจากค่ายมือถือต่างๆ ด้วยนะ เพราะบางค่ายมีแพ็กเกจราคาไม่แพงสำหรับอุปกรณ์เสริมโดยเฉพาะ!
เปรียบเทียบ iPad รุ่นล่าสุด 2025 สำหรับนักศึกษา เลือกรุ่นไหนดี?
เอาล่ะ! หลังจากที่เราเข้าใจหลักการเลือก iPad กันไปแล้ว มาดูกันชัดๆ ว่า iPad แต่ละรุ่นที่วางขายอยู่ในปี 2025 นี้มีจุดเด่นจุดสังเกตอะไรบ้าง และเหมาะกับนักศึกษาแบบไหนกันแน่?
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมจะพูดถึงแต่ละรุ่นแบบเจาะลึก พร้อมบอกข้อดี-ข้อสังเกต ในมุมมองของคนที่ใช้งานจริงมาหลายปี ไม่ใช่แค่ข้อมูลสเปคแห้ง ๆ
iPad รุ่นปกติ (A16)


สเปคโดยรวม
• ชิป : A16 Bionic (ตัวเดียวกับใน iPhone 14 Pro)
• หน้าจอ : Liquid Retina 11 นิ้ว
• ความจุ : 128GB, 256GB, 512GB
จุดเด่น
• ราคาถูกที่สุดในบรรดา iPad รุ่นปัจจุบันทั้งหมด 💰
• คุ้มค่าสุดๆ สำหรับงานพื้นฐาน จดโน้ต ดูหนัง เล่นเน็ต
• มีหน้าจอขนาดใหญ่ 11 นิ้ว ทำงานสบายกว่า iPad mini
• รองรับ Apple Pencil (USB-C) และ Magic Keyboard Folio
• ชิป A16 แรงพอสำหรับงานทั่วไปและเกมส่วนใหญ่
จุดสังเกต
• ดีไซน์เก่ากว่า iPad Air และ Pro ทำให้ตัวเครื่องหนากว่าเล็กน้อย
• ไม่รองรับ Apple Pencil Pro (รุ่นล่าสุด)
• หน้าจอไม่มีเทคโนโลยี ProMotion (120Hz) เวลาเลื่อนหน้าจออาจไม่ลื่นเท่ารุ่นอื่น
• การประมวลผลอาจไม่เร็วพอสำหรับงานหนักๆ เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K
ใครควรซื้อ? iPad รุ่นปกตินี้เหมาะสุดๆ สำหรับนักเรียน ม.ปลาย – นักศึกษาปี 1-2 ที่ใช้งานทั่วไป เน้นจดโน้ต อ่านหนังสือ ดูวิดีโอ และงานเอกสารพื้นฐาน แต่ถ้าต้องเรียนสายที่ต้องใช้งานกราฟิกหนักๆ อาจจะยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
หลายคนอาจจะมองข้ามรุ่นนี้ไปเพราะคิดว่า “เป็นรุ่นเริ่มต้น คงไม่ค่อยดี” แต่จริงๆ แล้ว พลังของชิป A16 ก็เกินพอสำหรับงานทั่วไปแล้ว ไม่ได้อ่อนเหมือนที่หลายคนคิด
iPad mini (ชิป A17 Pro)


สเปคโดยรวม
ชิป : A17 Pro (ตัวเดียวกับใน iPhone 15 Pro)
หน้าจอ : Liquid Retina 8.3 นิ้ว
ความจุ : 128GB, 256GB, 512GB
จุดเด่น
• ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวกสุดๆ จับถนัดมือแบบหนังสือเล่มหนึ่ง
• น้ำหนักเบาที่สุดในบรรดา iPad ทั้งหมด (แค่ 293 กรัม!)
• ชิป A17 Pro แรงไม่เบา ทำงานได้คล่องแคล่ว
• รองรับ Apple Pencil Pro (ล่าสุด)
• รองรับ 5G และ Wi-Fi 6E
• เหมาะสุดๆ สำหรับอ่านหนังสือ เขียนโน้ตสั้นๆ พกพาไปทุกที่
จุดด้อย
• หน้าจอเล็ก (8.3 นิ้ว) อาจไม่สะดวกสำหรับงานที่ต้องใช้พื้นที่เยอะๆ
• ไม่มี Magic Keyboard รองรับโดยตรง (ต้องใช้คีย์บอร์ด Bluetooth ทั่วไป)
• ราคาแพงกว่า iPad รุ่นปกติทั้งที่หน้าจอเล็กกว่า
ใครควรซื้อ? iPad mini เหมาะมากสำหรับนักศึกษาที่ต้องเดินทางบ่อย พกกระเป๋าเล็กๆ หรือชอบอ่านหนังสือในที่ต่างๆ คล้ายๆ กับ Kindle แต่เอาไปทำอย่างอื่นได้ด้วย นักศึกษาแพทย์หลายคนชอบ iPad mini มากเพราะพกพาสะดวก เอาไว้อ่านตำราขณะเดินวอร์ด หรือจดโน้ตย่อๆ ระหว่างวัน
iPad Air (ชิป M3)


สเปคโดยรวม
• ชิป : Apple M3 (ชิประดับแล็ปท็อป)
• หน้าจอ : Liquid Retina 11 นิ้ว หรือ 13 นิ้ว
• ความจุ : 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
จุดเด่น
• ชิป M3 แรงมาก ทำงานได้ทุกอย่างลื่นไหล
• มีให้เลือก 2 ขนาด (11 นิ้ว และ 13 นิ้ว)
• ดีไซน์บางเฉียบ (5.9 มม.)
• รองรับ Apple Pencil Pro และ Magic Keyboard
• จอดีกว่า iPad รุ่นปกติ (มี P3 wide color gamut)
• รองรับ 5G และ Wi-Fi 6E
• อัตราส่วนราคาต่อประสิทธิภาพดีที่สุด ในบรรดา iPad ทั้งหมด
จุดด้อย
• ราคาสูงกว่า iPad ธรรมดาประมาณ 8,000 บาท
• ไม่มีกล้องสแกน LiDAR เหมือน iPad Pro
• หน้าจอไม่ใช่ Ultra Retina XDR และไม่มี ProMotion 120Hz เหมือน iPad Pro
ใครควรซื้อ? iPad Air คือตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับนักศึกษาที่ต้องการใช้งานระยะยาว 3-4 ปี หรือนักศึกษาปี 3-4 ที่กำลังจะทำธีสิส โปรเจ็คจบ หรือกำลังจะเริ่มทำงานเร็วๆ นี้ รวมทั้งนักศึกษาสายศิลปะ การออกแบบ สถาปัตย์ วิศวะ ที่ต้องใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการกำลังประมวลผลสูง
จากประสบการณ์คร่าวๆ iPad Air รุ่น 11 นิ้วนี่แหละคือ “จุดลงตัว” ที่ดีที่สุดระหว่างราคาและความสามารถ เพราะได้ชิป M3 ที่แรงมากๆ ในราคาที่ไม่ได้แพงกว่า iPad ธรรมดามากนัก แต่ได้ประสิทธิภาพที่สูงกว่ามหาศาล
iPad Pro (ชิป M4)


สเปคโดยรวม
• ชิป : Apple M4 (ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด)
• หน้าจอ : Ultra Retina XDR 11 นิ้ว หรือ 13 นิ้ว
• ความจุ : 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB
จุดเด่น
• เป็น iPad ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ชิป M4 แรงกว่า M3 ถึง 15%
• จอภาพ Ultra Retina XDR ให้คอนทราสต์และความสว่างสูงสุด
• ProMotion Technology (120Hz) ทำให้การเลื่อนหน้าจอลื่นไหลมาก
• กล้องหลังคุณภาพสูงสุด พร้อมระบบสแกน LiDAR สำหรับงาน AR
• บางที่สุด (5.1 มม.) และเบาที่สุดในตระกูล iPad Pro
• มี Neural Engine สำหรับรองรับงาน AI ในอนาคต
• ความจุเริ่มต้นที่ 256GB
• รองรับ Thunderbolt/USB 4
จุดด้อย
• ราคาสูงมาก เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นอื่นๆ
• “เกินความจำเป็น” สำหรับนักศึกษาส่วนใหญ่
• ถ้าซื้อพร้อม Magic Keyboard และ Apple Pencil Pro จะมีราคารวมเกิน 50,000 บาท
ใครควรซื้อ? iPad Pro เหมาะสำหรับนักศึกษาที่เรียนในสาขาที่ต้องใช้พลังการประมวลผลสูงจริงๆ เช่น Film Production ที่ต้องตัดต่อวิดีโอ 4K, สาขาออกแบบที่ต้องเรนเดอร์งาน 3D, สาขาสถาปัตย์ที่ต้องใช้โปรแกรมหนักๆ หรือนักศึกษาที่มีงบประมาณเหลือเฟือและต้องการอุปกรณ์ที่ดีที่สุด
เคยได้ยินคำถามเยอะมากว่า “iPad Pro จำเป็นสำหรับนักศึกษาไหม?” คำตอบคือ 99% ไม่จำเป็นครับ iPad Air ก็เพียงพอแล้ว เว้นแต่คุณจะมีงบเหลือเยอะๆ หรือเรียนสาขาที่ต้องใช้พลังประมวลผลขั้นสุดจริงๆ
จากประสบการณ์ที่ผมเห็นมา นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ซื้อ iPad Pro มักจะใช้งานต่ำกว่าศักยภาพของมันมาก (ชิป M4 ทำงานแค่ 10-20% ของพลังที่มี) เหมือนซื้อรถ Ferrari มาขับในเมืองที่รถติดตลอด มันสมรรถนะเกินใช้งานจริงไปเยอะ
ตารางเปรียบเทียบราคา iPad สำหรับนักศึกษา ปี 2025


รุ่น iPad 42890_7fbe15-7c> |
ราคานักศึกษา 42890_6018b6-59> |
ราคาปกติ 42890_d4b938-58> |
ส่วนลด 42890_cdf001-31> |
---|---|---|---|
iPad (ชิป A16) 42890_a5a637-d9> |
เริ่มต้น ฿12,200 42890_fe0c1b-43> |
฿12,900 42890_2090ca-80> |
฿700 42890_979418-ec> |
iPad mini (ชิป A17 Pro) 42890_59d72a-a1> |
เริ่มต้น ฿15,100 42890_d1783d-29> |
฿17,900 42890_2e3259-00> |
฿2,800 42890_7ec664-83> |
iPad Air 11″ (ชิป M3) 42890_ac1577-56> |
เริ่มต้น ฿20,100 42890_aac4f7-a4> |
฿21,900 42890_027de1-5e> |
฿1,800 42890_0dacf1-e0> |
iPad Air 13″ (ชิป M3) 42890_d44c0d-59> |
เริ่มต้น ฿27,100 42890_414efa-81> |
฿28,900 42890_9a2cee-01> |
฿1,800 42890_80f675-5a> |
iPad Pro 11″ (ชิป M4) 42890_a3f72c-a7> |
เริ่มต้น ฿33,900 42890_cddc32-8f> |
฿39,900 42890_19c580-35> |
฿6,000 42890_b2dee2-a7> |
iPad Pro 13″ (ชิป M4) 42890_50987b-12> |
เริ่มต้น ฿43,600 42890_4427b3-44> |
฿52,900 42890_1a21a4-4f> |
฿9,300 42890_519be8-ec> |
อุปกรณ์เสริมที่ควรมีสำหรับนักศึกษาที่ใช้ iPad
iPad เป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังอยู่แล้ว แต่เมื่อเพิ่มอุปกรณ์เสริมที่เหมาะสม จะยิ่งทำให้การใช้งานสำหรับการเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญคือโปรโมชั่น iPad ราคานักศึกษาของเรายังมีส่วนลดพิเศษสำหรับอุปกรณ์เสริมด้วย:
Apple Pencil – ปากกาวิเศษสำหรับการเรียน
- Apple Pencil Pro – ราคานักศึกษา ฿3,840 ราคาปกติ ฿4,990 (ใช้กับ iPad Air, Pro และ mini)
- Apple Pencil (USB-C) – ราคานักศึกษา ฿2,590 ราคาปกติ ฿3,190 (ใช้กับ iPad รุ่นปกติ)
การมี Apple Pencil จะช่วยให้การจดโน้ต ขีดเขียน ไฮไลท์เนื้อหา และวาดภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนใช้ปากกาจริงๆ บนกระดาษ
คีย์บอร์ด – เปลี่ยน iPad ให้เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์
- Logitech Combo Touch สำหรับ iPad ชิป A16 – ราคานักศึกษา ฿2,990 ราคาปกติ ฿5,590
- Logitech Combo Touch สำหรับ iPad Air 11 นิ้ว – ราคานักศึกษา ฿6,110 ราคาปกติ ฿6,790
- Logitech Combo Touch สำหรับ iPad Air 13 นิ้ว – ราคานักศึกษา ฿7,190 ราคาปกติ ฿7,990
การมีคีย์บอร์ดจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการพิมพ์รายงาน อีเมล หรือทำงานที่ต้องพิมพ์เยอะๆ ช่วยให้ iPad กลายเป็นอุปกรณ์ทำงานที่ครบวงจรมากขึ้น
อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- Apple Care+ – ราคาปกติ 3,990 บาท ราคานักศึกษา 3,390 บาท (ประกันความเสียหายเพิ่มเติม 2 ปี)
- ฟิล์มกันรอย – ราคาปกติ 990 บาท ราคานักศึกษา 790 บาท
- กระเป๋า/เคส iPad – ลดสูงสุด 20% สำหรับนักศึกษา
💡 คำแนะนำ : หากมีงบจำกัด อุปกรณ์เสริมที่ควรลงทุนอันดับแรกคือ Apple Pencil เพราะช่วยเปลี่ยนวิธีการใช้งาน iPad ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะสำหรับการเรียน
Tags: BacktoSchool, Education, iPad, Mac, ราคานักศึกษา